จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554



มงกุฏหนามพระเยซูได้ไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษแล้ว
          หลังจากที่มงกุฎหนามพระเยซูได้ถูกปล้นไปในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 4  และต่อมาได้ถูกขายต่อให้กับเชื้อพระวงศ์ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นระยะเวลานานกว่าจะพบว่ามันได้ถูกเก็บที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในอังกฤษ แต่จกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีใครแก้ข้อสงสัยได้เลยว่า มงกุฏหนามที่มีประวัติอันยาวนานอันนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
 
วัตถุลึกลับที่เชื่อกันว่าเป็นหนามของมงกุฏหนามที่เคยสวมใส่ศีรษะพระเยซูเมื่อครั้งโดน ตรึงกางเขน ซึ่งถูกเก็บไว้ในวิทยาลัย Stonyhurst ในเมือง Clitheroe แคว้น Lancashire เป็นเวลากว่า 200 ปีมาแล้ว โดยชิ้นส่วนของมงกุฏหนามนี้ได้ถูกนำมาประดับด้วยสร้อยไข่มุข 2 เส้นคู่กัน โดยพระราชินีแมรี่แห่งสก็อต



ภาพแสดงมงกุฏหนามจากเรื่อง The Passion of Christ ที่แสดงเป็นพระเยซูโดย Jim Caviezel

มงกุฏหนามพระเยซูแรกเริ่มเดิมที่ได้อยู่ที่กรุงคอนสแตนตินติโนเปิลซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมัน ในสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ราวๆคริสตศักราช 1200 มงกุฏหนามอันนี้ได้ถูกขายให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 4 ซึ่งขณะนั้นพำนักอยู่ที่เมืองเวนิช พระเจ้าหลุยส์ได้เก็บวัตถุโบราณล้ำค่าทางศาสนานี้ไว้ในที่ลับของห้องสวดมนต์ในโบถ์แห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาส่วนที่เป็นหนามเกิดการหักชำรุด และได้ถูกส่งต่อมายังชาวบ้านครอบครัวหนึ่งที่มาแต่งงานแล้วก็ได้กลายเป็นของขวัญและมรตกทอดสืบมา
                หนามมงกุฏที่พบที่วิทยาลัย Stonyhurst เป็นหนามมงกุฏที่มีอายุมากกว่า 400 ปี คณะกรรมการคริสตศาสนิกชนประจำโรงเรียนกล่าวว่า หนามมงกุฏอันนี้ได้รับมากจากพระราชินีแมรี่แห่งสก็อต ซึ่งพระราชินีได้รับมาจากการแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ฝ่ายฝรั่งเศสซึ่งเป็นของประจำราชวงศ์ที่เป็นมรดกตกทอดกันมา และหลังจากนั้นพระราชินีแมรี่ก็นำหนามมงกุฏอันนี้มาเก็บไว้ที่เมือง Holyrood ในแคว้น Edinburgh และหลังจากพระราชินีแมรี่ได้ถูกประหารชีวิตในปี 1567 มันก็ได้ถูกส่งต่อมายังคนรับใช้ส่วนพระองค์ของพระราชินีแมรี่ นามว่า Thomas Percy และตกทอดมายังหลานของ Thomas Percy ที่ชื่อว่า Elizabeth Woodruff  และต่อมาในปีคริสตศักราช 1600 หล่อนก็ได้มอบต่อให้กับนักบวชที่ทำพิธีล้างบาปให้เธอ และนักบวชผู้นั้นก็ได้นำมาเก็บไว้ในที่วิทยาลัย Ribble Valley (ชื่อเดิมของวิทยาลัย Stonyhurst) จนถึงปัจจุบัน




ข้าวปลอมจากประเทศจีน


ข้าวปลอมจากประเทศจีน
                ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องการส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ตอนนี้ถ้าคุณซื้อข้าวที่มาจากประเทศจีน คุณคอยต้องสังเกตุให้ดี เพราะบางครั้งมันอาจเป็นข้าวปลอม ครับได้ยินไม่ผิดแน่ ข้าวปลอมตอนนี้มีการรายงานมาว่า มีบริษัทหัวใสในจีน (ขี้โกงมากกว่า) ได้ผลิตข้าวปลอมขึ้น โดยข้าวปลอมนี้ทำจาก ส่วนผสมของ มันฝรั่ง แล้วก็ พลาสติก จากข่าวที่เราๆท่านๆทราบกันมาก่อนหน้านี้บ้างแล้วว่า เคยมีไข่ไก่ปลอมที่ผลิตมาจากประเทศจีนออกมา แต่ไม่นึกว่าครั้งนี้จะหนักกว่าเก่า ถึงขั้นผลิตข้าวปลอมออกมาขายกันเลยทีเดียว แต่ถามว่าผมแปลกใจหรือไม่ที่ได้ยินข่าวข้าวปลอมจากประเทศจีน ผมขอตอบว่าไม่ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของจีน เป็นเรื่องที่เราๆท่านๆที่เป็นคนไทยทราบกันมานานแล้วว่า ของที่มาจากประเทศจีนบางอย่างนั้นมีคุณลักษณะพิเศษและมีเอกลักษณ์อย่างไร เอาล่ะเรามาดูกันว่าไอ้ข้าวปลอมนี้มันมีกรรมวิธีผลิตและมีรสชาติหรือหน้าตาเป็นอย่างไร
                การผลิตข้าวปลอมนั้นมีกรรมวิธีผลิตที่ง่ายมาก ขั้นแรกมีการนำมันฝรั่งมาบด แล้วนำมาผสมกับเรซิ่นสังเคราะห์ (พลาสติกเหลว เมื่อนำมาผสมสารทำให้แข็งตัวจะจับตัวแข็ง) ต่อมาก็จะน้ำมาขึ้นรูปด้วยเครื่องอัดเม็ดให้มีลักษณะที่เหมือนกับรูปร่างของเมล็ดข้าวจริงๆ ซึ่งข้าวปลอมพวกนี้เมื่อนำไปหุงจะมีลักษณะที่แข็งกว่าข้าวธรรมดา จะไม่เละหรือเหลวเมื่อหุง (ก็แน่ล่ะมันคือพลาสติกนี่) ตามรายงานพบว่าข้าวปลอมนี้มีขายในเมืองไท่หยวน มณฑลชานซี ประเทศจีน
                หนังสือพิมพ์ของเวียตนามได้พาดหัวข่าวใหญ่โตเมื่อทราบเรื่องนี้ โดยได้พาดหัวข่าวว่า คุณเคยกินถุงพลาสติกบ้างหรือเปล่าล่ะพี่น้อง (เออใครจะบ้าเคยกินกันวะ) แล้วมีรายละเอียดของหัวข้อข่าวว่า ถ้าคุณรับประทานข้าวที่มาจากจีน 3 ถ้วย (บ้านเขากินกับถ้วย) เท่ากับคุณได้รับประทานถุงพลาสติกไปแล้ว 1 ถุง การเที่เกิดเรื่องที่แปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้นเป็นการแสดงถึงความไม่ใส่ใจแล้วก็ไม่สนใจสุขภาพผู้บริโภคซึ่งความจริงมันก็คือ บริษัทที่ผลิตข้าวปลอมนี้มีเหตุผลเพียงแค่ต้องการจะเลียนแบบเมล็ดข้าวพันธุ์ วูชางซึ่งเป็นข้าวที่มีชื่อเสียงและมีราคาแพงในจีน (อาจจะเหมือนข้าวพันธุ์สังข์หยดในบ้านเรา)
                เมื่อผมมาดูข่าวเก่าๆเมื่อในปี 2008 ที่ได้มีข่าวว่ามีการผสมเมลามีนในนมผงเด็ก ทำให้ผู้บิโภคกว่า 300,000 คนป่วยและมีเด็กเสียชีวิต ซึ่งต่อมาทางการจีนก็ได้ตัดสินประหารชีวิตเจ้าของโรงงานที่เป็นต้นคิดไอ้เจ้านมปลอมนี้ (อาจจะปิดปาก) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่านมปลอมปนเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการทดสอบทางโภชนะมาได้อย่างไร เรื่องนี้สื่อให้เห็นได้ว่าประเทศจีนเขาก็มีทุจริตคอรัปชั่นเหมือนบ้านเราแหละ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ลองไปดูอันดับรายชื่อประเทศที่มีการทุจริตคอรัปชั่น จีนจะติดเป็นอันดับต้นๆ รวมทั้งไทย และบางทีข่าวข้าวปลอมนี้อาจจะเป็นแค่การเต้าข่าวเกินจริงของ หนังสือพิมพ์เวียตนามและรัฐบาลเวียตนามที่ต้องการจะทำลายความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจากจีนก็เป็นได้ ซึ่งเวียตนามนั้นเป็นประเทศคู่แข่งกันเรื่องการส่งออกเรื่องข้าว แต่มันเราก็อดไม่ได้ที่จะคิดใช่ไหมล่ะ (ก็คนมันมีประวัติไม่ดีมาก่อน)

ที่มาข่าว : http://www.rawstory.com
บทความ : People of The Revolution
(กรุณาขออนุญาตก่อนนำไปเผยแพร่)

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

Plague doctor แพทย์ผู้รักษากาฬโรค


         ถ้าใครเคยดูสารคดีหรือหนังเกี่ยวกับยุโรปยุคกลางบางเรื่อง อาจจะเคยเห็นคนที่ใส่ชุดมาสคอตที่คล้ายอีกาอยู่บ้าง หลายๆท่าอาจจะสงสัยว่าเขาใส่ชุดแบบนั้นไปทำไม นี่คือคำตอบครับ พวกเขาคือหมอ ที่นี้ยิ่งงงกันไปใหญ่แล้วทำไมหมอต้องมาใส่ชุดน่ากลัวๆแบบนี้ด้วย เอาแบบนี้ก็แล้วกันผมจะเล่าให้ฟัง
                Plague doctor เป็นแพทย์เฉพาะทางประเภทหนึ่ง ที่มีอยู่ในช่วงยุคกลางของยุโรปโดยเฉพาะในอิตาลีที่เป็นต้นกำเนิดของ Plague doctor ในช่วงที่ยุโรปยุคกลางได้มีโรคระบาดที่เรียกได้ว่าอันตรายและทำให้ผู้คนเจ็บป่วยล้มตายมากที่สุดในยุคนั้น นั่นก็คือ ไข้ดำ (Black death ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายจะอาเจียนเป็นเลือดสีดำฝรั่งในยุคนั้นก็เลยเรียกง่ายๆว่าความตายสีดำ) หรือถ้าเรียกชื่อที่เราๆคุ้นเคยนั่นก็คือ กาฬโรค Plague doctor ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุคนั้น เพราะ Plague doctor จะมีหน้าที่คอยรักษา  ผู้ป่วยที่เป็นกาฬโรคในขณะที่แพทย์ปกติธรรมดายังจนปัญญาที่จะรักษา โดยปกติธรรมดาแล้ว Plague doctor จะถูกจัดเป็นแพทย์ประเภททางเลือกเสียมากกว่าแทนที่จะเป็นแพทย์รักษาผู้ป่วยจริงๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว Plague doctor จะเป็นแพทย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนวิชาการแพทย์หรือรักษาผูป่วยในแบบธรรมดา หรืออาจจะเป็นพวกนักเรียนแพทย์หนุ่มๆที่ลาออกโรงเรียนสอนวิชาแพทย์เพื่อมาหาความสำเร็จทางด้านธุรกิจการแพทย์ Plague doctor ส่วนใหญ่จะมีพันธะสัญญาหรือได้รับการว่าจ้างให้ทำการรักษาโรคในแต่ละชุมชนไป ซึ่งเราอาจจะรู้จักพวกเขาในอีกชื่อหนึ่งว่า แพทย์ประจำชุมชน ถึงพวก Plague doctor จะมีวิธีรักษาผู้ป่วยที่แปลกและแตกต่างจากแพทย์โดยทั่วไปที่ใช้วิชาความรู้ทางการแพทย์ และการผ่าตัดที่ร่ำเรียนกันมาก็ตามที อย่างไรเสียแทบในทุกที่ในยุโรปจะพบเห็น Plague doctor ทำการรักษาควบคู่ไปกับแพทย์ทั่วไปเสมอ
                ถึงแม้ว่า Plague doctor จะดูไม่ค่อยเหมือนแพทย์ที่ชำนาญการสักเท่าไหร่ เพราะพวก Plague doctor ไม่ได้เรียนวิชาแพทย์หรือการผ่าตัดเหมือนแพทย์ธรรมดา ดังนั้นในแวดวงทางการแพทย์จึงจัด Plague doctor อยู่ในประเภทแพทย์ทางเลือกเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็มีหลักปฏิบัติที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์อยู่บ้างเช่น ความเชื่อที่ว่าโรคนั้นติดต่อผ่านทางอากาศ พวกเขาจึงสวมหน้ากากที่สามารถกรองเชื้อโรคที่มากับอากาศได้ หรือการทำความสะอาดบ้านเรือนและเตียงนอนสะอาดอยู่เสมอนั้นช่วยป้องกันการเป็นโรคได้ แต่ Plague doctor  ในฝรั่งเศสและในเนเธอแลนด์กลับไม่มีความรู้เรื่องการทางการแพทย์หรือมีการฝึกหัดที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์เลย มีเรื่องเล่ากันว่ามี Plague doctor  คนหนึ่งที่มีอาชีพปกติแค่เป็นคนขายผลไม้เท่านั้น การเป็น Plague doctor ในยุโรปยุคกลางนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย เพราะว่ามันมีความเสี่ยงในการติดโรคสูง และเป็นงานที่ยากเอาเสียมากๆ โอกาศที่จะรอดกลับมาจากการไม่เป็นโรคนั้นน้อยมาก ด้วยเหตุที่ Plague doctor เป็นงานที่อันตรายและค่อนข้างเสี่ยง ทำให้คนที่ประกอบอาชีพเป็น Plague doctor จึงมีน้อยมาก
                สันตปาปา คลีเมนท์ ที่ 6 เคยว่าจ้าง Plague doctor  พิเศษ 6 คนในช่วงที่มีการระบาดของกาฬโรค โดยพวกเขาทั้ง 6 คนต้องเข้าไปแลและผู้คนที่เจ็บป่วยที่เมือง Avignon และนอกจากนี้สันตปาปา คลีเมนท์ ที่6 ยังส่ง Plague doctor อีก 16 ไปยังเมือง Venice ผลจากการส่ง Plague doctor  ไปครั้งนั้นปรากฏว่ามี Plague doctor  รอดกลับมาจากเมือง Avignon เพียงแค่คนเดียวที่เหลือตายทั้งหมด ส่วน Plague doctor  ที่ส่งไปยังเมือง Venice ได้เสียชีวิตจากกาฬโรค 4 คน อีก 12 คนหาญสาบสูญ ซึ่งคาดว่าคงจะหลบหนีไป การระบาดของกาฬโรคครั้งที่ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ต้องย้อนกลับไปในศัตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า โรคระบาดแห่งจัสติเนียน ซึ่งมีการระบาดของกาฬโรคครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปยุคกลาง ซึ่งการระบาดของกาฬโรคครั้งนั้นส่งผลให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้ Plague doctor ที่อยู่ประจำตามชุมชนต่างๆได้รับเงินสิทธิพิเศษต่างๆเพิ่มขึ้น เป็นต้นว่า Plague doctor สามารถที่จะตรวจและวินิจฉัยโรคและผ่าศพได้อย่างอิสระโดยไม่มีการควบคุม (การผ่าศพเป็นสิ่งต้องห้ามในยุคนั้น) และนอกจากนี้ Plague doctor ยังสามารถที่จะทำการค้นคว้าวิจัยหาวิธีรักษาด้วยตัวเองได้ ตัวอย่างเช่นที่เมือง Orvieto ได้ว่าจ้าง Plague doctor ที่ชื่อว่า Matteo fu Angelo เป็นเงินถึง 200 florin ต่อปี ซึ่งมากกว่าการว่าจ้างแพทย์ธรรมดาถึง 4 เท่าเลยทีเดียว แต่ด้วยเพราะความที่เป็นที่ต้องการตัวเป็นอย่างมากและมีค่าตัวที่ราคาแพง ทำให้มีการลักพาตัว และมีการเรียกค่าไถ่ Plague doctor กันขึ้น ดังเช่นที่เมือง บาร์เซโลน่า ประเทศสเปนได้มีโจรการลักพาตัว Plague doctor 2 คนไปจากเมืองและเรียกร้องค่าไถ่ตัว ทำให้ทางการบาร์เซโลน่าต้องจ่ายเงินเพื่อไถ่ตัว Plague doctor ทั้ง 2 คนกลับมา

การแต่งกายของ Plague doctor
                โดยปกติแล้วคนทั่วไปในยุคนั้นจะเรียก Plague doctor ในชื่อที่คุ้นเคยในอีกชื่อหนึ่งคือ หมอปากนก สาเหตุที่เรียกเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าการแต่งตัวของพวก Plague doctor เองที่มีลักษณะของจงอยปากแหลมๆคล้ายนกยื่นออกมาตรงส่วนที่เป็นหน้ากาก การแต่งกายของ Plague doctor ในส่วนอื่นๆก็ประกอบด้วยเสื้อโค้ทหนาหนักที่ลงแว็กซ์อย่างดี และที่สำคัญคือส่วนที่เป็นหน้ากากจะประกอบส่วนที่เป็นช่องสำหรับตามองก็จะเจาะและปิดด้วยกระจกทั้งสองข้างสามารถเลื่อนขึ้นลงได้ ในส่วนของจงอยปากที่เป็นส่วนที่เป็นช่องอากาศสำหรับหายใจจะบรรจุด้วย การบูร , สะระแหน่ , กระเทียม , ฟองน้ำชุบน้ำส้มสายชู เพื่อใช้กรองเชื้อโรค นอกจากนี้ส่วนอื่นๆของร่างกายได้ถูกปกปิดอย่างดีด้วยกางเกงหนัง ร้องเท้าบู๊ตหนา และถุงมือหนัง และสุดท้ายที่สำคัญคืออุปกรณ์ที่ใช่สำหรับการวินิจฉัยโรคคือ ไม้ด้ามยาว ซึ่งจะมีประโยชน์ในการที่จะไม่ต้องสัมผัสตัวกับผู้ป่วยโดยตรงในการวินิจฉัยโรค จากองค์ประกอบของการแต่งกายของ Plague doctor ทำให้เราได้ทราบว่าพวกเขาเข้าใจเรื่องการติดเชื้อ และการแพร่กระจายเชื้อโรคในอากาศได้ดี (ตรงกับหลักการป้องกันโรคติดต่อของแพทย์ยุคปัจจุบัน)

หน้าที่ของ Plague doctor
                หน้าที่ของ Plague doctor ที่มีต่อชุมชนและสาธารณะได้เกิดขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 14 เมื่อมีการระบาดของกาฬโรคครั้งใหญ่ในยุโรป ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ที่พวกเขาจะต้องปฏิบัติต่อชุมชน เช่นการไปตรวจดูอาการของผู้ป่วย ทำการตรวจบันทึกการตายด้วยโรคระบาดของคนในชุมชน และเป็นคนที่ทำหน้าที่คอยชี้นำหรือบอกให้ผู้ป่วยคิดถึง ทอง หรือ เงิน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการคิดถึงเรื่องนี้จะทำให้จิตใจผู้ป่วยสงบ
                ในขณะที่บางที่เช่นเมือง ฟลอเรนซ์ หรือ เปรูจา ได้มีการร้องขอให้ Plague doctor ทำการผ่าศพเพื่อวินิจฉัยสาเหตุของโรค และนอกจากนี้ Plague doctor ยังมีหน้าที่เป็นพยานและรายงานจำนวนของผู้ป่วยที่เป็นโรคระบาดอีกด้วย

 การทำงาน
                Plague doctor ส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการเจาะเลือดผู้ป่วยและการรักษาเยียวยาด้านอื่นๆ เช่นการวางกบลงบนต่อมน้ำเหลืองที่บวมโตจากโรค เพื่อรักษาสมดุลย์ของร่างกาย และนอกจากนี้ Plague doctor ยังต้องเข้ามาตรวจดูอาการผู้ป่วยที่รักษาตามระยะเวลาที่กำหนด (ส่วนใหญ่ 40 วัน) Plague doctor ไม่สามารถที่จะพบปะหรือติดต่อกับบุคคลตามที่สาธารณะได้ด้วยเหตุผลทางด้านธุรกิจและเพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อโรคจากตัว Plague doctor เอง

                เห็นไหมครับทีนี้เราก็รู้แล้วว่า Plague doctor นั้นคืออะไรและมีหน้าที่หรือบทบาทอย่างไร บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระที่ Plague doctor ทำการรักษาคนเช่นนั้น แต่อย่าลืมนะครับว่าวิทยการด้านการแพทย์ในยุคกลางนั้นยังไม่พัฒนาเหมือนทุกวันนี้ แต่ใช่ว่าการรักษาของพวกเขาจะไม่มีหลักการณ์หรือมั่วนิ่มเสียทีเดียว การให้คำแนะนำด้านสุขอนามัยและการป้องกันตัวเองจากโรค นั้นมีต้นกำเนิดมาจากพวก Plague doctor  เลยนะครับ หรือแม้กระทั่งการวินิจฉัยและรักษาโรคหรือการให้กำลังใจผู้ป่วยนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องและยังเป็นที่นิยมทำกันในปัจจุบัน  ถ้าเปรียบกับในยุคปัจจบันพวก Plague doctor นี้อาจจะเป็นเหมือนแพทย์แผนโบราณ หรือแพทย์ทางเลือก ที่มีหลักการรักษาโรคในแบบและวิธีของเขาเอง (บางครั้งการแพทย์ปัจจบันยังไม่สามารถรักษาได้) อีกทั้งพวกเขายังต้องเสี่ยงภัยและเสียสละตนเองเพื่อเข้าไปทำการรักษาคนโดยไม่เกี่ยงหรือรังเกียจคนเป็นโรค ที่ขนาดแพทย์ธรรมดายังไม่กล้าเข้าไปดู ถึงแม้กับต้องแลกกับค่าจ้างก็ที่แพงก็ตามที (ถ้าเป็นคุณคุณจะกล้าไปไหมกับค่าจ้างที่คุณไม่มีวันได้ใช้) กับการต้องเดินรักษาผู้ป่วยในสถานที่ที่มีโรคระบาดที่ไม่ว่ายาที่ไหนในโลกก็ยังไม่สามารถรักษาได้ (บางครั้งถูกทิ้งไว้อย่างอนาถา) แต่อย่างน้อยผมก็ว่ายังดีกว่าแพทย์ในยุคปัจจุบันบางคนที่เห็นการรักษาผู้ป่วยเป็นแค่เรื่องธุรกิจ เลือกรักษาเฉพาะคนที่รวย และรังเกียจคนไข้ที่ฐานะยากจน ดังนั้นผมขอสดุดี Plague doctor แพทย์ผู้เสียสละและผู้พิชิตไข้ดำ
               
                แปล เรียบเรียงและเขียนบทความโดย People of The Revolution (กรุณาขออนุญาตก่อนนำไปเผยแพร่ที่อื่น)

ข้อมูลอ้างอิงจาก: http://en.wikipedia.org/wiki/Plague_doctor